วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ความเก่งฝึกได้ ความดีฝึกยาก

ในสังคมปัจจุบันหลายครอบครัวไม่อยากมีลูก บางครอบครัวก็อยากมีลูกมากทำทุกทางแต่ก็ไม่สามารถมีลูกได้ การมีลูก..มีเด็กๆอยู่ในบ้านจะเพิ่มความอบอุ่นและสีสันให้ครอบครัวมากทีเดียว สำหรับครอบครัวใหม่การมีลูกทำให้มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น วัฒนธรรมของสังคมไทยที่เชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา การได้เกิดมาเป็นคนนั้นมีบุญ..แต่การที่จะได้เกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมและมีคุณธรรมนั้นเราเชื่อกันว่าคนนั้นมีบุญมากกว่าปกติ



เมื่อมีการเกิดใหม่ในครอบครัวเป็นเรื่องที่ดีงาม..(ในครอบครัวที่พร้อม)..การให้ความรัก,ความใส่ใจ,อบรมดูแลเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ-แม่ที่ยิ่งใหญ่..เด็กเหมือนผ้าขาวที่สามารถแต่งเติมสีสัน..ผู้เลี้ยงดูสามารถมอบความสุขหรือความทกข์ให้เด็กได้..ช่วงที่อยู่ในระหว่างการเรียนรู้คนใกล้ชิดกับเด็กมีความสำคัญมากๆ..เด็กจะเริ่มเรียนรู้จดจำพฤติกรรมจากผู้เลี้ยง..การคุยกับเด็กบ่อยๆแม้เขาจะยังไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ"เด็กสามารถรับรู้ได้จากเสียงของแม่ผู้ให้นมหรือผู้ดูแลที่อุ้มกอด..เด็กจะคุ้นเคยจะจดจำพฤติกรรม..น้ำเสียง..ควรคุยกับเด็กให้มากๆคุยได้ทุกเรื่อง เช่น ร้องเพลง สวดมนต์ เล่านิทาน คุยเรื่องดีดีระหว่างวัน..ไม่ควรคิดว่าเขายังเด็กเกินไปพูดไปก็ไม่รู้เรื่องโตขึ้นค่อยคุยค่อยสอนก็ได้" ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง...พ่อ-แม่ควรคุยกับเด็กเล่นกับเขาอบรมและปลูกฝังในสิ่งที่คุณเชื่อว่าดีสำหรับลูกจนเขาเติบโตในวัยที่พร้อมจะออกไปสู่สังคมเช่น โรงเรียน ถ้าในครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กน้อยเกินไป..เมื่อโตขึ้นเขาก็จะมีสังคมของเขาและไม่อยากฟังคุณแล้ว...หลายครอบครัวประสบปัญหาลูกมีอะไรไม่ค่อยคุยด้วย..ลูกเชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อ-แม่..นั่นเพราะ..เขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อ-แม่..เลยไม่คุ้นชินกับการที่ต้องคุยปรึกษากับคุณ..เมื่อเด็กเจอปัญหาจึงชอบคุยกับเพื่อนมากกว่าพ่อ-แม่..บางปัญหาอาจลึกซึ้งเกินกว่าเด็กจะจัดการได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อ-แม่หลายคนต้องทุกข์ใจมามากมาย


หากเด็กคนหนึ่งได้เกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม..พ่อ-แม่ก็สามารถมอบการศึกษาที่ดีและโอกาสดีดี..เพื่อให้ลูกเป็นคนเก่งได้ไม่ยากเลย..หรือเป็นเด็กที่มีความสามารถ(ส่วนน้อย)ฝึกฝนได้ด้วยตัวเองจนเกิดความเข้าใจและเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆก็สามารถเป็นคนเก่งได้เช่นกัน..แต่คนเก่งหลายคนมีปัญหาในการเข้าสังคม..หลายครั้งที่บางคนเมื่อประสบความสำเร็จแล้วเขากลับรู้สึกว่าความสำเร็จเงินทองนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขเลย..ความเป็นคนธรรมดาที่มีความสุขและมีความพอดีต่างหากที่ทำให้ทุกคนมีความสุขที่แท้จริง..ควรสอนให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพรู้จักการเอาตัวรอดได้เมื่อเจอปัญหา..เพราะพ่อ-แม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไปเขาต้องมีชีวิตของตัวเอง..เด็กควรได้รับการปลูกฝังเรื่องของการให้..เมื่อรู้จักให้แล้วใจจะกว้างขึ้น..ให้เขาเติบโตและมีความสุขในแบบของเขา(ในทางที่ถูกต้อง)..เพื่อมาใช้ชีวิตในสังคมที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีคุณภาพและเบียดเบียนคนอื่นน้อยที่สุด..พ่อ-แม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้..แค่นี้ทุกๆครอบครัวก็ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือสังคมในวงกว้างได้แล้วไม่ต้องรอให้พร้อมทุกอย่างถึงจะช่วยได้..เพราะความเก่งฝึกได้แต่ความดีนั้นฝึก(ไม่)ยาก..เริ่มจากครอบครัวดีที่สุด. 



photo credit by : istockphoto

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

รักตัวเองให้เป็น...แล้วคุณจะคู่ควรกับรักดีดี

หลายคนเคยถูกรัก และมีอีกหลายคนที่ไม่ได้เป็นผู้ถูกรัก.....ทุกคนอยากพบกับรักดีดี เฝ้าฝันและคาดหวังโดยตั้งสเปกในใจ 1...2...3...4  ฯลฯ เมื่อเจอคนในฝันก็ทุ่มเท และอยากครอบครอง..ส่วนมากถ้าคิดถึงจุดหมายก่อน โดยไม่คำนึงถึงตัวเราเป็นหลักก่อน มักจะผิดหวังแต่ถ้าเรารู้ว่าต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าก่อนต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน รักที่เราเฝ้าฝันคงไม่เกินความคาดหวัง หรือ ถ้าไม่ได้ตามที่หวังเต็มร้อยก็พอใจ เพราะคนที่รู้จักรักตัวเองความรักมักไม่ได้ผูกอยู่กับใคร เขาสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง จึงไม่คาดหวังกับคนรักมากนัก ไม่กดดันตัวเองและคนรัก ความสัมพันธ์จึงมี คุณภาพ ยั่งยืน และงดงาม...


หลายคนอาจคิดว่าใครบ้างไม่รักตัวเอง?  ทุกคนก็รักตัวเองอยู่แล้ว...(รักตัวเองแบบสัญชาตญาน) แต่ตัวเรายังไงก็ได้...อยากให้คนที่เรารักมากกว่าเพราะความสุขเราคือเห็นคนที่รักมีความสุข...แต่การรักคนอื่นมากไปจนไม่รักตัวเองเลยไม่ใช่ความรักที่ดีและเป็นความรักที่ไม่มีค่า เพราะคนรับ...รู้สึกและเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ..ไม่ใช่ความรักความใส่ใจของผู้ให้.....สุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องการความรักความใส่ใจเหมือนๆกันทุกคน หลายคนที่ให้มากไปแล้วรู้สึกเหมือนทำคุณคนไม่ขึ้น เป็นผู้ให้ตลอดแต่ไม่เคยมีใครเห็นความดีเลย รักเขามากขนาดนี้ทำไมเขาไม่เห็นความดีบ้าง บ้างก็ตัดพ้อ และทุกข์อยู่แบบนั้นซ้ำๆ 

การรักตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว หรือ หลงตัวเอง... ถ้ามองแบบตื้นเขินอาจจะเข้าใจแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าเราเข้าใจอย่างแท้จริง การรักตัวเองเป็น...คือสิ่งที่การันตีว่าคนๆนั้นสามารถรักคนอื่นได้อย่างมีคุณภาพ และสามารถจัดการกับปัญหาในทุกๆความสัมพันธ์ได้ดีกว่า

เราต้องแยกระหว่างสัญชาตญาณ กับ การรักตัวเองให้เป็นก่อน เพราะการรักตัวเองแบบสัญชาตญาน แตกต่าง กับการรักตัวเองแบบจิตสำนึก

สัญชาตญาต คือ ..ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิดทำให้เราสามารถกระทำได้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน

การรักตัวเอง คือ ...การยอมรับนับถือตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง เอาใจใส่ดูแลตัวเอง รวมถึงความเป็นอยู่ของตัวเองให้เติบโตและเจริญก้าวหน้าในชีวิต

เมื่อเรารู้จักรักตัวเองแล้ว เราจะรู้ว่าควรรักคนอื่นยังไงให้พอดีและมีคุณภาพ ถ้าเข้าใจและแยกความหมาย 2 อย่างนี้ออกได้แล้ว เราจะมีความสุขและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ทุกคนอยากอยู่กับคนที่มีความสุข คนที่มีพลังบวกมีความคิดดีดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ควรมีอารมณ์ขันบ้าง IQ เป็นสิ่งที่ดี แต่คนที่มี EQ ด้วย มักทำอะไรสำเร็จมากกว่าคนอื่น ไม่มีใครอยากอยู่กับคนที่คาดหวังกับเขาตลอดเวลา หรือคิดลบไปซะทุกเรื่องทุกอย่าง มันเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์และตัวเองในทุกๆวัน 


เมื่อเรารู้จักที่จะรักตัวเองเป็นแล้ว เราจะดึงดูดคนที่คล้ายๆกันเข้ามาเองและเชื่อเถอะว่าคนๆนั้นสามารถมอบความรักที่มีคุณภาพให้เราได้ไม่ต่างกัน ความผิดหวังในความรักอาจจะน้อยลง หรือ ไม่มีเลย เมื่อเราลดการคาดหวังและเข้าใจว่า no body perfect แม้กระทั่งตัวเราเองก็ไม่ perfect นิ้วเราก็ไม่เท่ากันเพราะธรรมชาติออกแบบมาให้มาเติมเต็มกันและกันเพื่อความสมดุล จงยอมรับในความต่างของกันและกัน มีความสุขกับสิ่งรอบตัวเล็กๆได้ด้วยตัวเอง ความสุขไม่ควรขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่ง จนไม่มีช่องว่างเพื่อจะรักตัวเอง เมื่อคุณเข้าใจสิ่งนี้แล้วคุณจะได้พบกับความสัมพันธ์ดีดี...ที่คู่ควร

"อย่าเป็นผีเสื้อที่คอยบินหาดอกไม้สวยๆจงสร้างสวนดอกไม้ขึ้นมาเองเพื่อให้ผีเสื้อบินมาหาดอกไม้" 

Keep your smile

Keep your laugh

Keep your fun

And.........Keep your happy life

Good Luck!!!


photo credit by : istockphoto

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ความสุขที่เอื้อมถึง

หลายคนเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่พร้อม หลายคนมีพร้อมทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข หลายอย่างในโลกนี้ก็ไม่พอดีแบบนี้แระ เราต่างหากที่เป็นคนเลือกที่จะมีความสุขหรือจะทุกข์กับมันสุข หรือ ทุกข์ อยู่ที่เราคิด ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดเวลาทุกคนต้องพลัดพลากจากกันในสักวัน การอยู่ร่วมกับสังคมและรู้จักแบ่งปัน การรู้จักรักตัวเองให้เป็นก่อน เราถึงจะแบ่งปันสิ่งดีๆให้คนอื่นได้อย่างมีคุณภาพ


การเป็นคนที่สังคมยอมรับต้องเป็นยังไง แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นคนดี จริงๆคนดี คือการพอดี พอดีในทุกๆอย่างที่คิด ที่ทำ และที่พูด ที่สำคัญต้องดีให้ถูกคนถูกเวลาด้วย เช่น ให้อะไรใครมากไปในเวลาที่เขาไม่ได้ต้องการ สุดท้ายเขาก็อาจไม่เห็นค่า และไม่ได้รู้สึกว่าเราช่วยเขา ตัวเราก็ไม่ได้เป็นคนดีในสายตาเขาเลย 
ทุกคนชอบการทำความดี และมีวิธีทำความดีในแบบของตัวเองอยู่แล้ว แม้โจรที่ปล้นฆ่าคนได้ก็มีมุมที่เป็นคนดี จงพอดีแล้วความดีนั้นจะมีคุณภาพเอง ไม่ควรตำหนิใครถ้าเราไม่ได้อยู่ในจุดที่เขาอยู่เราอาจจะไม่เข้าใจเขาได้อย่างถ่องแท้ก็ได้ บางคนแค่ได้เดินห้างสรรพสินค้าก็ดีใจหรือได้เที่ยวทะเลก็ดีใจ "เวลาทุกข์ใจชอบดื่มเหล้าพอมีเงินก็อยากได้โทรศัพท์" จริงๆแล้วนั้นอาจจะเป็นความสุขเดียวที่เขาสามารถเอื้อมถึงในตอนนั้นก็ได้ สิ่งที่คุณเห็นด้วยสายตาอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป บางคนเขาไม่ได้อยู่ในสังคมที่ดี มีรถขับ มีเสื้อผ้าดีๆใส่ เขาอยู่อย่างแร้นแค้น คำว่ามีความสุขของเขาอาจแค่การได้กินอิ่มในแต่ละมื้อ เมื่อเขามีโอกาสเอื้อมถึงความสุขแม้จะดูขัดตากับเราแต่ให้เข้าใจเบื้องต้นว่า"อาจจะเป็นความสุขที่เขาสามารถเอื้อมถึงได้ในช่วงชีวิตตอนนั้นก็ได้"


บางคนชอบกินเหล้าเมาทุกวัน (การดื่มสุราไม่ดีกับสุภาพเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุและการทะเลาะวิวาทได้) เพราะชีวิตเขาลำบากทำงานก่อสร้างเหนื่อย ร้อน ทั้งวัน ทุกวันชีวิตเขาแทบจะหาความสุขไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่เขาเอื้อมถึงและอาจจะพอทำให้เขามีความสุขได้บ้าง (ในความคิดของเขา) คือการได้ดื่มเหล้าเมาแล้วก็ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ บางคนก็ก้าวร้าวมากๆถ้าเจอก็เลี่ยงดีกว่าเราไม่รู้เลยว่าชีวิตเขาเจออะไรมาบ้าง เขาอาจโดนรังแก โดนทำร้าย เมื่อโดนซ้ำๆ สัญชาตญานจะบอกเราให้หาวิธีปกป้องตัวเองจนหลายครั้งกลายเป็นความก้าวร้าว หรือโดนทอดทิ้ง ไม่เคยได้รับความรักจากคนที่เขาควรจะได้รับ บางคนแม้แต่..พ่อ-แม่ของเขาก็เติบโตมาแบบไม่เคยได้ความรักเหมือนกันก็คุ้นเคยต่อๆกันมา 
เป็น Generation เขาอาจจะเข้าใจว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้แระพ่อ-แม่เขาก็เลี้ยงดูเขามาแบบนี้ รอบข้างเขาสังคมเขาก็เป็นแบบนี้ซึ่งสิ่งที่เขาคิดไม่ผิดเลย เขาอยู่ในสังคมแบบนั้นเขาก็อาจเข้าไม่ถึงสังคมอีกแบบว่าควรมีระบบความคิดแบบไหน เหมือนเราก็มีระบบความคิดความเชื่อแบบเราเช่นกัน 



photo credit by : istockphoto

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ต้นทุนชีวิตเราไม่เท่ากัน

เพราะชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกทางเดินชีวิตให้ตัวเองได้ เพราะความจนไม่ใช่กรรมพันธุ์นั้นเอง ทุกคนต้องเจอทั้งเรื่องดี และไม่ดี บางเรื่องก็ไม่ได้รับเชิญบางเรื่องเราก็ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเองเช่น การเล่นพนัน จริงๆแล้วต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากันไม่ใช่ข้ออ้างที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อนเรียนมาด้วยกัน พี่น้องท้องเดียวกัน ก็ประสบความสำเร็จไม่เท่ากันสักคน อยู่ที่ตัวคุณ ไม่ใช่ต้นทุนชีวิต หรือ ความยากจน คนดังที่ประสบความสำเร็จมากมายได้พิสูจน์แล้วว่าต้นทุนชีวิตที่แตกต่าง สามารถประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ถ้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ



คนดัง ที่เรียนไม่จบ แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

1.สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)
2.ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson)
3.เดฟ โทมัส (Dave Thomas)
4.เดวิด กรีน (David Green)
5.แลร์รี่ เอลลิสัน (Larry Ellison)
6.เควิน โรส (Kevin Rose)
7.ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell)
8.เรเชล เรย์ (Rachael Ray)
การคบเพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะกำหนดชีวิตเราเช่นกัน ถ้าคุณคบเพื่อนชอบทำธุรกิจ คุณก็จะซึบซับการคิดและทำธุรกิจ การเป็นนายตัวเอง ถ้าคุณคบเพื่อนเป็นพนักงานบริษัทฯคุณก็จะหาบริษัทฯที่มั่นคงในการทำงาน ไม่ผิดหรอกถ้าคุณจะเลือกคบใครถ้าเขาเป็นคนดีในแบบที่คุณมอง แต่คนส่วนใหญ่อยู่ใกล้สิ่งไหน ผลลัพธ์ของชีวิตก็มักจะเป็นแบบนั้น ถ้าคุณลองทำสิ่งใหม่ๆ คุณก็จะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ 
ต้นทุนชีวิตเราต่างกันแน่นอน ความเลื่อมล้ำมีแน่นอนทุกสังคมในโลกนี้ แต่ต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากันไม่ใช่ตัวตัดสินว่าคุณจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนคนอื่น การเกิดมาในครอบครัวที่ยากกจนไม่ได้ทำให้คุณแย่ไปกว่าใคร การอ่านหนังสือก็ช่วยให้คุณมีความคิดดีๆได้ คุณต้องอยากประสบความสำเร็จ คิดซ้ำๆ ทำซ้ำๆ คุณต้องมีความฝันอันนี้สำคัญมาก ลองจินตนาการว่าคุณไปอยู่ในจุดที่คุณวาดฝันไว้แล้ว จำความรู้สึกนั้นให้ขึ้นใจแล้วลงมือทำสม่ำเสมอเพราะคุณคือผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเอง


อาชีพที่ทำแล้วสำเร็จส่วนมากเป็นอาชีพที่ช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น ช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น ช่วยให้เขาได้ทานอาหารที่รสชาติดีกว่า ฯลฯ ยิ่งรู้ว่าต้นทุนเราน้อยกว่าคนอื่น ยิ่งต้องขยันให้มากกว่าคนอื่น เรียนรู้อยู่เสมอ การคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองบ่อยๆมันคือเพื่อนแท้ในยามที่คุณผิดหวัง ไม่มีใครไม่เคยแพ้ ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด สิ่งเหล่านี้คือสีสันและจะเป็นมงกุฏที่สวยงามของคุณในวันที่คุณประสบความสำเร็จ ถ้าความสำเร็จได้มาง่ายๆ ก็คงไม่ภาคภูมิใจและหอมหวานเพราะมันมีค่าถึงได้มายาก ความผิดพลาดคือครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในโรงเรียนก็ไม่มีสอนคุณต้องเรียนรู้เอง ล้มเองแล้วลงขึ้นมาให้เร็ว คุณทำได้ !!! คุณคือ Number One!! ไม่มีใครเหมือนคุณเพราะคุณคือคนเดียวของโลก แม้แต่ฝาแฝดยังคิดต่างกันเลย 
ความสำเร็จรอคนที่คู่ควรเสมอ!!!



photo credit by : istockphoto

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564

การปรับตัวของมนุษย์เงินเดือน




งานคือเงิน เงินคืองาน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า..เรื่องสำคัญๆหลายเรื่องเงินช่วยแก้ปัญหาได้ หลายคนที่ทำงานอยู่ในตอนนี้อาจไม่ได้ชอบงานที่ตัวเองทำแต่ก็ต้องทำเพื่อสิ่งที่เรารัก..รออยู่ข้างหลัง การเรียนรู้กับเนื้องานคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาคือการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากเพราะต่างคนต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกันต้องมาอยู่ร่วมกันการปรับตัวเข้าหากันจึงยากกว่า ถ้าต้องอยู่กับคนที่แย่ๆทุกวัน ลึกๆมันคือมะเร็งที่คอยกัดกินใจเราซ้ำๆ

หลายคนต้องออกจากงานเพียงเพราะปรับตัวเข้ากับเพื่อนที่ทำงานไม่ได้ ทั้งๆที่งานนั้นได้ผลตอบแทนดี แต่ก็มีบางคนที่ต้องอดทนอยู่กับเพื่อนร่วมงานแย่ๆ เพราะต้องการมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว จนตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า บางครั้งความสามารถก็สู้การเมืองในสังคมงานไม่ได้เลย การได้รับโอกาสที่ดีต่างหากที่ทำให้อยู่ในสังคมมนุษย์เงินเดือนได้ดี ถ้าคุณมีคนสนับสนุนคุณก็อยู่ได้ดีและเติบโต

การอยู่ร่วมกันได้ดีต้องเข้าใจก่อนว่า...แต่ละคนเติบโตมาต่างกัน ความคิด ความเชื่อ ก็ต่างกันเมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน ย่อมมีปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่รู้หรอกว่าคนๆหนึ่งที่เรารู้จักภูมิหลังเขาเจออะไรมาบ้าง จึงทำให้เขาก้าวร้าว ชอบพูดแรงๆ ส่วนมากมาจากปมในวัยเด็ก คนกลุ่มนี้ถ้ามองลึกๆลงไปแล้วเขาก็น่าสงสาร ปกติคนที่มีความสุขอยู่แล้วจะอยากแบ่งปัน แต่คนที่ไม่มีความสุขเท่านั้นที่พยายามเรียกร้อง อยากมีตัวตนจนบางครั้งเกิดความไม่เข้าใจและขัดแย้งกัน เพียงแค่เราเข้าใจและมองเขาในอีกมุมวิเคราะห์ปัญหาว่าเขาเป็นแบบนี้อาจเกิดจากอะไร? เราจะเข้าใจเขามากขึ้นและอยู่ร่วมกันได้ แต่..อย่าลืมว่าเราต้องมีความรู้ ความเข้าใจในงานที่เราทำ การทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าเราจะอยู่ได้ดีในสังคมนั้นๆ แม้เพื่อนร่วมงานที่คิดไม่ดีกับเราก็ต้องยอมรับเราไปโดยปริยาย

สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้คือ "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" เมื่อเราทำผลงานได้ดีมีคนชื่นชมแล้วอย่าลืมสร้างมิตรภาพและแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงานเพราะคนเหล่านี้จะช่วยพลักดันเราและสนับสนุนเราในภาระกิจอื่นๆที่ดีกว่าในอนาคต..ก่อนที่เราจะมาเป็นหัวหน้าเราก็เคยเป็นลูกน้องมาก่อน การทำให้คนทำงานให้เราด้วยใจไม่ใช่เพราะผลตอบแทนเป็นการบริหารที่ยั่งยืนมากกว่า คุณจะได้ทีมที่ดีและพร้อมจะช่วยงานคุณในทุกสถานการณ์ 


สุดท้ายแล้วถ้าเรายังต้องทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนคงหนีไม่พ้น "เรื่องการปรับตัว" แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการพัฒนา Skill ตัวเองให้ดียิ่งขึ้น และเชี่ยวชาญในงานที่ทำ จริงๆแล้วการเป็นพนักงานบริษัทฯ ก็สามารถทำให้เราตั้งตัวได้ มีรถ มีบ้าน ได้เพราะสถาบันการเงินให้เครดิตคนทำงานประจำเพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน จงทำทุกวันให้มีคุณค่า เพราะอนาคตข้างหน้าคือเวลาปัจจุบันที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้.


photo credit by : istockphoto



วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

การอยู่ร่วมกัน กับความเห็นที่แตกต่าง


เมื่อโลกเข้าสู่ยุค Digital มากขึ้น การเข้าถึงข่าวสารก็ง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนเราจะได้รับข่าวสารจากช่องทางเดียวเป็นการสื่อสารแบบ one way เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเป็นการสื่อสารแบบ two way หมายถึงเราสามารถหาข้อมูลเพื่อ Support ข่าวสารที่เรารับรู้ได้ จึงเกิดการโต้ตอบ และมีคำถาม จึงมีแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป การอยู่ร่วมกันระหว่าง Gen เก่า กับ Gen ใหม่ จึงเป็นสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจอย่างลึงซึ้งเพื่อปรับตัวให้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้ง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเราเองอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า 3 สิ่งที่เราไม่ควรคุยกันในวงสนทนาคือ

อาชีพ
- เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทุกๆอาชีพมีคุณค่าในตัวเอง แม้จะเป็นแค่ฟันเฟื่องเล็กๆ ก็คือหนึ่งฟันเฟื่องที่ทำให้งานๆหนึ่งสำเร็จเพราะการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จเราไม่สามารถทำได้ดีด้วยตัวเราคนเดียว
ความเชื่อ
- ในโลกนี้มีศาสนามากมาย แต่ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีในแบบของตัวเอง
การเมือง
- นิ้วมือยังไม่เท่ากันฉันใด ความคิด ความเชื่อ ของคนเราย่อมแตกต่างกันฉันนั้น เพราะเราแตกต่างจึงมี Innovation ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในโลกใบนี้




ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ ไม่ต่างกับที่เราได้แสดงความคิดเห็นในโต๊ะทานข้าวที่บ้าน ในห้องเรียน หรือ ในที่ทำงาน เราถูกฝึกและคุ้นชินอยู่แล้ว การรู้ว่าควรฟังดี มีค่ากว่าการรู้ว่าต้องพูดให้ดีกว่า เพราะคนที่พูดได้ดีเป็นคนที่ฟังและเก็บรายละเอียดได้ดีมาก่อนถึงมาพูด เราจึงมีหู 2 ข้าง และมีปากเพียงอันเดียว เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะรับฟัง และพูดในเวลาที่เหมาะสม ครอบครัวคือพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ที่ดีออกสู่สังคม

ออกห่างจากการสนทนาที่ลบๆ การแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ จะทำให้เราคิดและคุ้นชินแบบนั้นและนำมาซึ่งวิธีคิด วิธีพูดของเรา และกลายเป็นนิสัยของเรา ที่ง่ายกับการเกิดความขัดแย้ง การรับฟังและยอมรับในความต่างของแต่ละคน ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข หลีกเลี่ยงการสนทนาเพื่อความสะใจ คำพูดสบถ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีอารมณ์ร่วมและนำไปสู่ความขัดแย้งได้โดยปริยาย 

ความเข้าใจ, ความรัก, การรับฟัง,คำขอโทษและขอบคุณ น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้การอยู่ร่วมกันในความขัดแย้งได้ดีในทุกสถานการณ์...หากเรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันจงทำให้ทุกเวลามีค่าเพราะชีวิตนี้ไม่สั้นและไม่ยาวนัก ความตายอาจพรากเราจากกันสักวัน.


photo credit by : istockphoto 



เมื่อต้องให้กำลังใจตัวเอง

Don't be so SAD, I Know it's HARD Sometimes 
Stop and take a DEEP BREATH, I promise it will BE OK! 
Don't Give up!! 

เมื่อ1-2 ปีที่ผ่านมา..เราทุกคนต้องเผชิญกับเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Covid-19 หลายๆอย่างในชีวิตต้องเปลี่ยนไป หลายๆอาชีพต้องหยุดชงัก มีผู้คนล้มตาย มีความพลัดพราก หลายธุกิจต้องปิดตัวไปเพราะแบกต้นทุนไม่ไหวและกลายเป็นห่วงโซ่ชีวิตต่อๆกัน เมื่อบริษัทฯต้องปิดลงพนักงานก็ถูกจ้างออกในขณะที่ค่าใช้จ่ายยังคงที่ การใช้ชีวิตต่อเริ่มคิดหนัก มีความเครียด กังวลบางคนฆ่าตัวตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีคือการให้กำลังใจตัวเองเพื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ด้วยกัน

หลายคนอาจเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากในชีวิตมาแล้วไม่มากก็น้อย แต่เราไม่เคยรู้และเตรียมตัวรับกับการโรคระบาดนี้เลยเมื่อชีวตยังต้องเดินต่อไปวิธีที่เราทำได้ด้วยตัวเองทันทีคือ การอยู่กับปัจจุบันและมีสติ

แม้ก่อนหน้านี้งานที่เราเคยทำจะเป็นงานมั่นคงแต่มาวันนี้ถ้ามันเปลี่ยนไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าเราทุกคนมีพรสวรรค์ในตัวเองทุกคน อยู่ที่เราจะนำมันออกมาใช้เมื่อไหร่ และค้นเจอในตัวเองหรือยัง? ความสามารถที่เรามีอาจมาจากสิ่งที่เราชอบ ที่เราถนัด ให้นำมันออกมาใช้ และพัฒนาให้เกิดศักยภาพเพื่อจะผ่านช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนี้ไปให้ได้ ให้คิดเสมอว่า ณ ตอนนี้ทุกคนในโลกเจอสถานการณ์เดียวกันหมด เราไม่ได้เจอเรื่องร้ายๆนี้เพียงลำพัง มันเป็นเพียงอีกหนึ่งบททดสอบว่าเราจะผ่านมันไป อยู่ที่เราแข็งแกร่งแค่ไหน เพียงเรารู้ใน 4 ข้อง่ายๆ พื้นฐานนี้เรื่องร้ายๆอาจเป็นเรื่องที่เรายอมรับได้และอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายบทหนึ่งของชีวิตเราก็ได้

1. ให้กำลังใจตัวเอง 
บอกตัวเองว่าเราทำได้ !! เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

2. ยิ้มรับและพยายามเข้าใจในทุกปัญหา 
ทุกข์อยู่กับเราไม่นาน สุขก็อยู่กับเราไม่นานเช่นกัน

3. ปล่อยวาง 
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นบางครั้งเราก็ไม่สามารถควบคุมได้

4. มีความหวังในทุกๆวัน 
การคิดบวกเป็นการดึงดูดสิ่งดีๆ คนดีๆ โอกาสดีๆเข้ามาหาเราเสมอ

ทุกชีวิตต้องมีความหวังเพราะชีวิตมันไม่ง่าย ถ้าง่าย ก็ไม่มีอะไรที่น่าภาคภูมิใจ ถ้าเราผ่านไปได้นั้นคือชัยชนะอย่างแท้จริง การชนะใจตัวเองคือการชนะที่ยิ่งใหญ่ สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานของการเตรียมพร้อมให้เรารับมือกับปัญหาใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เราควบคุมไม่ได้.....อีกเช่นกัน


photo credit by : istockphoto 

ผิดบ้าง แพ้บ้าง

เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะดีกว่าเดิมได้ ...คำ ๆนี้หลายคนคุ้นหูและผ่านตาเป็นประจำ แม้เราจะรู้ว่ามันทำได้จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถท...